简体中文
繁體中文
English
Pусский
日本語
ภาษาไทย
Tiếng Việt
Bahasa Indonesia
Español
हिन्दी
Filippiiniläinen
Français
Deutsch
Português
Türkçe
한국어
العربية
บทคัดย่อ:นักธุรกิจชาวออสเตรเลียออกมาเปิดเผยตัวว่าเป็นผู้บุกเบิก "บิตคอยน์" และจดทะเบียนสิ่งประดิษฐ์ภายใต้นามแฝงเป็นชื่อญี่ปุ่น
ในที่สุดปริศนาที่ค้างคาใจชาวโลกโซเชียลมานานก็ได้รับการเปิดเผย เมื่อนักธุรกิจชาวออสเตรเลียที่ชื่อ เครก สตีฟ ไรท์ ยอมรับว่า เขาคือผู้บุกเบิกเงินตราดิจิทัล หรือบิตคอยน์ (Bitcoin) และจดทะเบียนสิ่งประดิษฐ์นี้ภายใต้นามแฝงว่า ซาโตชิ นากาโมโต แต่ตัวตนของนักประดิษฐ์รายนี้ก่อให้เกิดข้อสงสัยมาโดยตลอด เช่นเดียวกับการใช้บิตคอยน์ที่กลายเป็นประเด็นถกเถียงที่รุนแรงไม่แพ้กัน เพราะมีทั้งผู้ที่มองว่าเป็นการปฏิวัติการใช้จ่ายในโลกออนไลน์ และมองว่าเป็นการใช้จ่ายนอกระบบเศรษฐกิจและไม่ได้รับการยอมรับจากรัฐบาลหลายๆ ประเทศ
หลังจากนั้นมีสื่อมวลชนและนักวิชาการพยายามแกะรอยตัวตนและที่อยู่ของ ซาโตชิ นากาโมโตเรื่อยมา แต่ไม่ประสบความสำเร็จ ทั้งยังชี้ตัวผิดพลาดมาโดยตลอด เช่น ระบุว่าเขาน่าจะเป็นนักวิจัยด้านไอทีชั้นแนวหน้าของโลกในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง หรือเป็นบุคคลธรรมดาที่มีความหลงใหลในงานด้านคณิตศาสตร์และไอที แต่การอ้างชื่อบุคคลเหล่านี้ผิดพลาดทุกครั้ง
อย่างไรก็ตาม มีข้อสังเกตว่าซาโตชิ นากาโมโตใช้คำสบถในภาษาอังกฤษแบบที่ใช้กันในสหราชอาณาจักรหรือในกลุ่มประเทศเครือจักรภพ เช่น ออสเตรเลีย
และแล้วการตามล่าเจ้าพ่อบิตคอยน์ก็เริ่มใกล้ความจริงยิ่งขึ้น เมื่อเดือน ธ.ค.ปีที่แล้ว นิตยสารไวร์ด (Wired) และเว็บไซต์ Gizmodo ระบุว่า ผู้ที่อยู่เบื้องหลังบิตคอยน์น่าจะเป็นชายชาวออสเตรเลียที่ชื่อ เครก สตีฟ ไรท์ นักธุรกิจและอดีตนักวิจัยด้านไอที แต่หลังจากเป็นข่าวไรท์ได้ปิดทวิตเตอร์ส่วนตัวและไม่ยอมให้ข่าวกับสื่อมวลชน อย่างไรก็ดี เพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังจากการรายงานข่าวของ Wired ตำรวจออสเตรเลียเข้าบุกค้นบ้านของไรท์ในเมืองกอร์ดอน และที่ทำงานของเขาในเมืองไรด์ รัฐนิวเซาท์เวลส์ โดยตำรวจให้เหตุผลว่าได้รับการร้องขอจากสำนักงานสรรพากร
จนกระทั่ง ไรท์ก็ยอมรับอย่างเป็นทางการว่า เขาคือซาโตชิ นากาโมโต ผู้ประดิษฐ์บิตคอยน์จริง โดยเปิดเผยเรื่องนี้กับสำนักข่าวบีบีซี นิตยสารรดิอีโคโนมิสต์ และนิตยสารจีคิว ทั้งนี้ เจ้าตัวยืนยันว่าไม่ประสงค์จะเปิดเผยตัวตนตั้งแต่แรก แต่ที่ต้องทำไปก็เพื่อยุติการเผยแพร่ข้อมูลที่สับสน นอกจากนี้ เขายังไม่หวังที่จะได้รับชื่อเสียงหรือเงินแม่แต่แดงเดียวจากการเปิดเผยตัวตน
ไรท์ระบุว่า เขาต้องคิดหนักก่อนที่จะตัดสินใจเปิดเผยตัวตนต่อสาธารณะและต้องการให้เกิดความชัดเจนขึ้นเพราะเขารักในงานที่ทำอยู่ และไม่ต้องการให้เกิดเรื่องเล่าลือหรือกระแสความหวาดกลัวในทางลบ
หลังจากนี้ ไรท์จะเปิดเผยงานวิจัยเชิงวิชาการเพื่อให้สาธาณชนได้เข้าใจและตระหนักในศักยภาพของบิตคอยน์มากยิ่งขึ้น เพราะเขาเชื่อมั่นอย่างยิ่งว่าบิตคอยน์และบล็อกเชน (Blockchain เครือข่ายข้อมูลธุรกรรมออนไลน์) จะช่วยเปลี่ยนแปลงโลกของเราให้ดียิ่งขึ้น แม้ไรท์จะเปิดเผยวิดีโอการเปิดตัวบิตคอยน์เข้าสู่ระบบออนไลน์เมื่อปี 2009 ให้สื่อได้ชมเป็นขวัญตา สื่อชั้นนำที่เปิดเผยเรื่องราวของเขาย้ำว่า หลังจากนี้จะต้องมีการตรวจสอบกันต่อไปอีกหลายขั้นตอน เพื่อที่จะยืนยันว่าเขาผู้นี้คือผู้สร้างเงินตราแห่งโลกอนาคตจริงๆ
ข้อจำกัดความรับผิดชอบ:
มุมมองในบทความนี้แสดงถึงมุมมองส่วนตัวของผู้เขียนเท่านั้นและไม่ถือเป็นคำแนะนำในการลงทุน สำหรับแพลตฟอร์มนี้ไม่รับประกันความถูกต้องครบถ้วนและทันเวลาของข้อมูลบทความ และไม่รับผิดชอบต่อการสูญเสียใด ๆ ที่เกิดจากการใช้ข้อมูลในบทความ
ความเสี่ยงในการลงทุนในคริปโต
Malone Lam ชาวสิงคโปร์วัย 20 ปี ถูกตั้งข้อหาในสหรัฐฯ ฐานขโมย 4,100 BTC มูลค่า 230 ล้านดอลลาร์ โดยใช้วิธีหลอกลวงเหยื่อผ่าน social engineering และฟอกเงินด้วย crypto mixers หากถูกตัดสินว่าผิด เขาอาจถูกจำคุกสูงสุด 20 ปี โดยมีกำหนดไต่สวนวันที่ 6 ตุลาคม 2025
แม้ว่า Bitcoin จะถูกออกแบบให้เป็น "เงินสดอิเล็กทรอนิกส์แบบ Peer-to-Peer" แต่ปัจจุบันกลับถูกใช้เป็นสินทรัพย์เก็บมูลค่ามากกว่าการใช้จ่ายจริง อุปสรรคหลักที่ขัดขวางการใช้งานในชีวิตประจำวัน ได้แก่ ความซับซ้อนของเทคโนโลยี ค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรม ความล่าช้า และความผันผวนของราคา อย่างไรก็ตาม Lightning Network ได้เข้ามาช่วยแก้ไขปัญหาเหล่านี้ ทำให้การทำธุรกรรมรวดเร็วขึ้นและต้นทุนต่ำลง ธุรกิจต่าง ๆ เริ่มรองรับ Bitcoin มากขึ้น เช่น การชำระเงินผ่าน POS การโอนเงินแบบ Lightning Address และการใช้ The Bolt Card Bitcoin กำลังพัฒนาไปสู่การเป็นระบบการเงินที่ใช้งานได้จริง ซึ่งอาจทำให้กลายเป็นสกุลเงินดิจิทัลที่แพร่หลายทั่วโลกในอนาคต
นักวิเคราะห์เตือน! ราคา Bitcoin หลุดแนวรับสำคัญแล้ว เป้าราคาต่อไปอาจอยู่ที่ $69,000